ประเทศเวียดนาม


ความเป็นมาของประเทศเวียดนาม
เวียดนามเริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์หลังจากตอนใต้ของจีนเข้ารุกรานและยึดครองดินแดนแถบลุ่มแม่น้ำแดง จากนั้นไม่นานจักรพรรดิจิ๋นซีซึ่งเริ่มรวมดินแดนจีนสร้างจักรวรรดิให้เป็นหนึ่งเดียว โดยได้ยกทัพลงมาและทำลายอาณาจักรของพวกถุกได้ ก่อนผนวกดินแดนลุ่มแม่น้ำแดงทั้งหมด ให้ขึ้นตรงต่อศูนย์กลางการปกครองหนานไห่ ที่เมืองพานอวี่หรือกว่างโจวในมณฑลกวางตุ้งปัจจุบัน หลังสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน ข้าหลวงหนานไห่คือจ้าวถัว ประกาศตั้งหนานไห่เป็นอาณาจักรอิสระ ชื่อว่า หนานเยว่ หรือ นามเหวียต ในสำเนียงเวียดนามซึ่งเป็นที่มาของชื่อเวียดนามในปัจจุบัน ก่อนกองทัพฮั่นเข้ายึดอาณาจักรนามเหวียด ได้ในปี พ.ศ. 585 และผนวกเป็นส่วนหนึ่งของจีน ใช้ชื่อว่า เจียวจื้อ ขยายอาณาเขตลงใต้ถึงบริเวณเมืองดานังในปัจจุบัน และส่งข้าหลวงปกครองระดับสูงมาประจำ เป็นช่วงเวลาที่ชาวจีนนำวัฒนธรรมจีนทางด้านต่าง ๆ ไปเผยแพร่ที่ดินแดนแห่งนี้ พร้อมเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทรัพยากรจากชาวพื้นเมืองหรือชาวเวียดนามจนนำไปสู่การต่อต้านอย่างรุนแรงหลายครั้งเช่น: วีรสตรีในนาม ฮายบาจึง ได้นำกองกำลังต่อต้านการปกครองของจีน แต่ปราชัยในอีก 3 ปีต่อมาและตกเป็นส่วนหนึ่งของจีน นักโทษปัญญาชนชาวจีนนามว่า หลีโบน ร่วมมือกับปัญญาชนชาวเวียดนามร่วมทำการปฏิวัติ ก่อตั้งราชวงค์หลี ขนานนามแคว้นว่า วันซวน แต่พ่ายแพ้ในที่สุด การปกครองของจีนในเวียดนามขาดตอนเป็นระยะตามสถานการณ์ในจีนเอง ซึ่งเป็นโอกาสให้ชาวพื้นเมืองในเวียดนามตั้งตนเป็นอิสระ ในช่วงเวลาที่เวียดนามอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ถาง พุทธศาสนาเริ่มเข้าสู่เวียดนาม เมืองต้าหลอหรือฮานอย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดเป็นศูนย์กลางการค้าการเดินทางของชาวจีนและอินเดีย พระสงฆ์และนักบวชในลัทธิเต๋าจากจีนเดินทางเข้ามาอาศัยในดินแดนนี้ ต่อมาราชวงศ์ถางได้เปลี่ยนชื่อเขตปกครองนี้ใหม่ว่า อันหนาน (หรืออันนัม ในสำเนียงเวียดนาม) หลังปราบกบฏชาวพื้นเมืองได้ แต่ถือเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จีนครอบครองดินแดนแห่งนี้ พ.ศ. 1498 - 1510 ราชวงศ์โง--หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ถางของจีน นายพลโงเกวี่ยนผู้นำท้องถิ่นในเขตเมืองฮวาลือ ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำแดง ขับไล่ชาวจีนได้ แล้วจึงก่อตั้งราชวงศ์โงเปลี่ยนชื่อประเทศว่า ไดเวียด หลังจากจักรพรรดิสวรรคต อาณาจักรแตกแยกออกเป็น 12 แคว้น มีผู้นำของตนไม่ขึ้นตรงต่อกัน พ.ศ. 1511 - 1523 ราชวงศ์ดิงห์--ขุนศึกดิงห์โบะหลิง แม่ทัพของราชวงศ์โง สามารถรวบรวมแคว้นต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เปลียนชื่อประเทศเป็น ไดโก่เวียด เริ่มสร้างระบบการปกครองแบบจีนมากกว่ายุคก่อนหน้า และตั้งตนเป็น จักรพรรดิดิงห์เตียน หรือ ดิงห์เตียนหว่าง เสมือนจักรพรรดิจิ๋นซีผู้รวบรวมจีน ถือเป็นการเริ่มใช้ตำแหน่งจักรพรรดิหรือ หว่างเด๋ ในเวียดนามเป็นครั้งแรก พ.ศ. 1524-1552 ราชวงศ์เตี่ยนเลหรือเลยุคแรก--มเหสีของจักรพรรดิดิงห์โบะหลิง ได้ขับไล่รัชทายาทราชวงศ์ดิงห์ สถาปนาพระสวามีใหม่คือขุนศึกเลหว่านเป็นจักรพรรดิเลด่ายแห่ง โดยพยายามสร้างความมั่นคงด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับราชวงศ์ซ่งของจีนและปราบปรามกบฏภายใน แต่ก็ไม่รอดพ้นการรัฐประหาร สมัยนี้พุทธศาสนาและลัทธิเต๋ารุ่งเรืองมากและได้รับความเลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนชั้นสูงมาก

การแต่งกายของประเทศเวียดนาม


การแต่งกายของเวียดนามที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ชุดอ๋าวหญ่าย (Áo dài) ซึ่งเป็นชุดประจำชาติที่มีลักษณะเป็นเสื้อยาวเข้ารูป สวมทับกางเกงขายาว ทำให้ดูสง่างามและมีเสน่ห์ โดยในปัจจุบันมีการประยุกต์ให้ทันสมัยมากขึ้น และนอกจากอ๋าวหญ่ายแล้ว ชาวเวียดนามยังมีการแต่งกายแบบอื่น ๆ ที่สะท้อนวัฒนธรรมและยุคสมัยที่แตกต่างกันไป. ลักษณะเด่นของการแต่งกายเวียดนาม: ชุดอ๋าวหญ่าย (Áo dài): เป็นชุดประจำชาติที่สวมใส่โดยสตรีเวียดนาม ทั้งในและนอกประเทศ. มีลักษณะเป็นเสื้อยาวแนบตัว สวมทับกางเกงขายาวสีเดียวกัน. แขนเสื้ออาจมีทั้งแขนสามส่วนหรือแขนยาว และชายเสื้อจะผ่าข้างตั้งแต่เอวลงไปถึงเกือบข้อเท้า. เดิมทีออกแบบโดยมีชิ้นส่วนเสื้อ 5 ชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นมีความหมายทางวัฒนธรรมและความเชื่อ. ปัจจุบันมีการดัดแปลงให้ทันสมัยมากขึ้น โดยอาจมีชายเสื้อยาวถึงข้อเท้าเพียง 2 ชิ้น และใช้ผ้าสีสันสดใส. สวมใส่ในโอกาสสำคัญ พิธีการ หรือแม้กระทั่งในชีวิตประจำวัน. การแต่งกายแบบอื่น ๆ: แบบดั้งเดิม: ชาวเวียดนามบางส่วน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ยังคงแต่งกายตามธรรมเนียมเดิม เช่น นุ่งกางเกงจีนขายาว สวมเสื้อคอกลมหรือคอจีน แขนสามส่วนหรือแขนยาว. ชุดชาวบ้าน: ชุดอ๊าวบ่าบา (Áo bà ba) เป็นชุดชาวบ้านในอดีต มีลักษณะเรียบง่าย. หมวก: การสวมงอบทรงแหลมที่เรียกว่า "นอน ลา" (nón lá) หรือหมวกสานด้วยใบลานทรงรูปฝาชี เป็นที่นิยม โดยเฉพาะในชนบทหรือเมื่อทำงานหนัก. เครื่องแต่งกายสำหรับนักเรียน: นักเรียนสตรีในบางภูมิภาคของเวียดนามจะสวมชุดอ๋าวหญ่ายสีขาวเป็นเครื่องแบบ. ความสำคัญและความโดดเด่น: ความสง่างามและสุนทรียภาพ: ชุดอ๋าวหญ่ายถูกออกแบบมาเพื่อเน้นทรวดทรงของผู้สวมใส่ ทำให้ดูสวยงาม อ่อนช้อย และสง่างาม. เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม: การแต่งกายสะท้อนถึงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และความเชื่อของชาวเวียดนาม. การปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย: แม้จะมีการดัดแปลงและพัฒนาไปตามยุคสมัย แต่ยังคงรักษาแก่นแท้ของรูปแบบดั้งเดิมไว้ได้. ความหลากหลายของแบรนด์เสื้อผ้า: แบรนด์เสื้อผ้าเวียดนามสมัยใหม่มักผสมผสานสไตล์ต่าง ๆ ทำให้เกิดแฟชั่นที่มีเอกลักษณ์และได้รับความนิยมทั่วโลก.

อาหารของประเทศเวียดนาม


บั๊ญหมี่ (bánh mì) เป็นคำภาษาเวียดนามที่แปลว่า "ขนมปัง" แต่ในตำรับอาหารเวียดนามยังหมายถึงบาแก็ตหรือขนมปังฝรั่งเศสทรงสั้นชนิดหนึ่งที่มีผิวบางกรอบและเนื้อนุ่มโปร่ง ผ่าตามยาวแล้วนำส่วนผสมต่าง ๆ มาใส่ระหว่างกลางอย่างแซนด์วิชและเสิร์ฟเป็นอาหาร นอกจากนี้ยังมีการกินบั๊ญหมี่ (ขนมปังธรรมดา) เป็นอาหารหลักด้วย บั๊ญหมี่เวียดนามแบบฉบับคือการผสมผสานระหว่างเนื้อสัตว์และผักจากตำรับอาหารเวียดนามพื้นเมือง (เช่น หมูยอ ผักชี แตงกวา แคร์รอตดอง หัวไชเท้าดอง) กับเครื่องปรุงรสจากตำรับอาหารฝรั่งเศส (เช่น ปาเต) ร่วมกับพริกและมายองเนส อย่างไรก็ตาม ยังมีความนิยมใส่ส่วนผสมอื่นอย่างหลากหลายตั้งแต่ไข่ดาว เนื้อหมูปั้นก้อน หมูแดง หมูหย็อง แฮม ปลากระป๋อง เนย แยม ไปจนถึงไอศกรีม ในเวียดนามนิยมกินบั๊ญหมี่เป็นอาหารเช้าหรือเป็นของว่าง

สัตว์ของประเทศเวียดนาม


สัตว์ประจำชาติของประเทศเวียดนาม คือ ควายน้ำ. ควายถูกยกให้เป็นสัตว์ประจำชาติเวียดนาม เนื่องจากมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับวิถีชีวิตของชาวเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำนา ซึ่งควายถูกนำมาใช้ในการไถนามาอย่างยาวนาน และยังคงพบเห็นได้ทั่วไปในประเทศ.

ดอกไม้ของประเทศเวียดนาม


ดอกไม้ประจำชาติของเวียดนามคือ ดอกบัว (Lotus). ดอกบัวมีความหมายถึงความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี และยังเป็นสัญลักษณ์ของความรุ่งอรุณอีกด้วย. นอกจากนี้ดอกบัวยังปรากฏอยู่ในบทเพลงพื้นเมืองและบทกวีของเวียดนามอยู่เสมอ.

เมืองหลวงของประเทศเวียดนาม


เมืองหลวงของประเทศเวียดนามในปัจจุบันคือ กรุงฮานอย ซึ่งมีความหมายว่า "เมืองที่มีแม่น้ำไหลผ่าน". ฮานอยมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี โดยถูกก่อตั้งขึ้นเป็นเมืองหลวงในปี พ.ศ. 1553 โดยปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ลี้ภายใต้ชื่อ "ทังล็อง" (Tang Long) ซึ่งหมายถึง "มังกรโบยบิน".