ประเทศพม่า

เมียนมา หรือในอดีตคือ พม่า มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและซับซ้อน มีการอพยพของหลายกลุ่มชนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนแห่งนี้ โดยกลุ่มชนเก่าแก่ที่สุดคือชาวมอญ ซึ่งต่อมาได้เป็นชนเผ่าส่วนใหญ่ที่ปกครองประเทศหลังจากชาวพม่าอพยพลงมาจากบริเวณพรมแดนจีน-ทิเบต. ชื่อประเทศถูกเปลี่ยนจาก "พม่า" เป็น "เมียนมาร์" ในปี 2532 เพื่อสะท้อนความเป็นศูนย์รวมของกลุ่มชาติพันธุ์ทุกเชื้อชาติในประเทศ.
ความเป็นมาของประเทศ
1.การแต่งการของประเทศพม่า

หลังเอกราช ได้มีการเสริมบทบาทสำคัญของเสื้อผ้าให้เป็นอัตลักษณ์ประจำชาติพม่า ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พยายามที่จะปรับปรุงเสื้อผ้าสำหรับพลเมืองของตน (เช่น สยามที่ได้รับจากรัฐนิยม หรืออินโดนีเซียที่สนับสนุนให้ผู้ชายสวมกางเกงขายาวแทน โสร่ง) รัฐบาลพม่าได้สนับสนุนให้ทั้งชายและหญิงสวมใส่ โลนจี ในชีวิตประจำวัน[2] การปราศรัย ปี พ.ศ. 2494 ในการประชุมวัฒนธรรมอินเดียพม่า นายกรัฐมนตรี อู้นุ กล่าวว่าการแต่งกายเป็นสัญลักษณ์เด่นประการหนึ่งของชาติ[10][2] แนวคิดวิถีพม่าสู่สังคมนิยมยังส่งเสริมการสวมเครื่องแต่งกายแบบดั้งเดิมพร้อมสนับสนุนเสื้อผ้าตะวันตก[9]
อาหารของประเทศไทย

โมฮิงกาหรือหม่อฮิงคา (Mohinga) ขึ้นชื่อว่าเป็นอาหารประจำชาติของชาวเมียนมา เดิมทีคนเมียนมานิยมทานเป็นอาหารเช้า แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมมากจนสามารถหาทานได้ตลอดทั้งวันตามร้านริมทางทั่วประเทศ เพราะมีราคาถูก อร่อยและอิ่มท้อง โมฮิงกามีหน้าตาคล้ายขนมจีนน้ำเงี้ยวในบ้านเรา สูตรลับของตัวน้ำแกงอยู่ที่วัตถุดิบหลัก 2 อย่าง คือปลาป่นและหยวกกล้วย เพิ่มสีสันด้วย กะปิ ขิง ตะไคร้ หัวหอม กระเทียม พริก และถั่วหัวช้างป่น เคี่ยวอย่างเข้มข้นจนเป็นเนื้อเดียวกัน ตัวน้ำแกงให้รสชาติหวาน เปรี้ยว เค็มและเผ็ดกลมกล่อมอย่างลงตัว คนเมียนมาแต่ละภาคจะปรุงส่วนผสมในสัดส่วนที่ต่างกันออกไป เช่น ในรัฐยะไข่จะใส่กะปิมากกว่า น้ำแกงน้อยกว่า และโมฮิงกาสูตรของทวายในละคร จากเจ้าพระยาสู่อิรวดี จะใช้พริกไทยดำแทนพริก
โมฮิงกา อาหารต่อลมหายใจ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ภายใต้การปกครองของอังกฤษ โมฮิงกาได้รับความนิยมในฐานะอาหารของชนชั้นแรงงาน และความนิยมเพิ่มเป็นทวีคูณโดยเฉพาะช่วงเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จนถูกเปลี่ยนจากอาหารเช้ามาเป็น "อาหารกันตายที่ทานได้ทุกมื้อ" เพราะมีราคาถูกมากในสมัยนั้น
"ก่อนหน้าปีค.ศ. 1990 ราคาต่อชามของโมฮิงกา รวมผักชุบแป้งทอดและไข่เป็ดผ่าซีกแล้ว เฉลี่ยเพียงชามละ 3 จ๊าต เทียบกับตอนนี้ทุกอย่างในชามให้น้อยลง มีแค่ถั่วทอดถูก ๆ แถมไม่มีไข่ในราคา 15 จ๊าต"
นางอองซานซูจี เคยบ่นถึงราคาของโมฮิงกาในจดหมายฉบับหนึ่งปีค.ศ. 1991
เหตุผลที่โมฮิงกาและขนมจีนน้ำเงี้ยวมีความคล้ายกันมาก นั่นเพราะว่าน้ำเงี้ยวเป็นอาหารของชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา อพยพเข้ามาอาศัยทั่วพื้นที่ภาคเหนือ และอีกหนึ่งเหตุผล คือช่วงพ.ศ. 2489 หลังสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพพายัพของไทยหลังจากกลับมาจากการรบในประเทศเมียนมา ด้วยความที่คุ้นเคยกับอาหารเมียนมาจึงดัดแปลงรสชาติของขนมจีนน้ำเงี้ยวให้คล้ายกับโมฮิงกา ซึ่งทั้งสองเมนูมีความอร่อยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
โมฮิงกากินอย่างไรให้อร่อย ความอร่อยของโมฮิงกา คือทานกับเส้นขนมจีนและเพิ่มเติมท็อปปิ้ง ได้แก่ ไข่ต้ม ถั่วทอดกรอบ ปาท่องโก๋หั่น และผักชี อาจปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา หรือพริกป่นแห้งลงไปได้ตามใจชอบเพื่อเพิ่มความกลมกล่อมยิ่งขึ้น
สัตว์ของประเทศพม่า

เสือโคร่ง สัตว์กินเนื้อขนาดใหญ่นอกจากจะได้รับการเลือกให้เป็นสัตว์ประจำชาติของพม่าแล้ว ยังถูกเลือกให้เป็นสัตว์ประจำชาติบรูไนอีกด้วย โดยลักษณะทางภูมิศาสตร์ของประเทศบรูไนซึ่งมีภูเขาและป่าไม้อยู่เป็นจำนวนมาก มีประชากรไม่หน่าแน่น สัตว์ป่าจึงไม่ถูกรบกวน จึงสามารถพบเสือโคร่งสายพันธุ์เอเชียจำนวนมาก และได้ถูกเลือกให้เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศบรูไนในที่สุด
ดอกไม้ของประเทศพม่า

ดอกไม้ประจำชาติพม่าคือ ดอกประดู่ (Padauk) ซึ่งมีสีเหลืองทองและผลิดอกในช่วงฤดูฝนแรกของเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่พม่ามีการเฉลิมฉลองปีใหม่. ดอกประดู่มีความหมายถึงความแข็งแรง ความทนทาน และเป็นดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพิธีทางศาสนาของชาวพม่า.
เมืองหลวงของประเทศพม่า

เนปยีดอ (พม่า: နေပြည်တော်; เอ็มแอลซีทีเอส: Nepranytau, เสียงอ่านภาษาพม่า: [nèpjìdɔ̀] (เน-ปยี-ดอ); มีความหมายว่า "มหาราชธานี"[6][7] หรือ "ที่อยู่ของกษัตริย์")[8][9] เป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการบริหารของประเทศพม่า ห่างจากย่างกุ้งซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าราว 320 กิโลเมตร[10] ปัจจุบันเนปยีดอเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของประเทศรองจากย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ และเป็นหนึ่งในสิบเมืองเติบโตเร็วที่สุดในโลก[11]
เนปยีดอตั้งอยู่ในหมู่บ้านจะปยีทางทิศตะวันตกของตัวเมืองปยี่นมะน่าในภาคมัณฑะเลย์ เชื่อว่าเหตุผลการย้ายเมืองหลวงมาจากคำทำนายของโหรของพลเอกอาวุโส ต้านชเว รวมถึงเชื่อว่าอาจจะเป็นการฟื้นฟูธรรมเนียมประเพณีเก่าของพม่าสมัยราชาธิปไตย สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาโดยรอบ เมืองนี้อยู่ห่างย่างกุ้งไปทางเหนือประมาณ 320 กิโลเมตร
ปัจจุบันกรุงเนปยีดอมีการพัฒนาถนนทางหลวงหมายเลข 8 เพื่อเชื่อมต่อกับย่างกุ้ง มีโครงการสร้างสถานีรถไฟขึ้นอีก 1 แห่งในเนปยีดอ ถัดจากสถานีในปยี่นมะน่าที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2549 มีการสร้างเจดีย์อุปปาตสันติ ซึ่งจำลองแบบจากเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้ง และทางการยังมีแผนการสร้างสวนสาธารณะ น้ำพุ สวนสัตว์ สวนบริเวณใจกลางเมือง และศูนย์การค้าแห่งใหม่อีก 42 แห่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเมืองหลวงแห่งใหม่ นอกจากนี้ยังมีแผนการก่อสร้างอาคารทันสมัยต่าง ๆ สำหรับหน่วยงานรัฐ ส่วนที่พักอาศัย โรงพยาบาลเอกชน ธนาคาร อาคารสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพพม่า และโครงการศูนย์การค้าระดับนานาชาติ โดยเป็นโครงการที่จะดำเนินไปตลอดทศวรรษหน้า